พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้อัพเดตสถานะของเขา
#ผู้เจริญมรรคมีองค์แปดมิอาจสึกไปเป็นคฤหัสได้

นทีสูตร
ไม่มีผู้สามารถให้ผู้เจริญอริยมรรคกลับเป็นคนเลวได้
[๒๙๖] สาวัตถีนิทาน. พระผู้มีพระภาคตรัสถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย
แม่น้ำคงคาไหลไปสู่ทิศปราจีน หลั่งไปสู่ทิศปราจีน บ่าไปสู่ทิศปราจีน ครั้งนั้น หมู่มหาชนพา
กันถือเอาจอบและตะกร้ามาด้วยประสงค์ว่า พวกเราจักทำการทดแม่น้ำคงคานี้ให้ไหลกลับ ให้
หลั่งกลับ ให้บ่ากลับ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน หมู่มหาชน
นั้นจะพึงทำการทดแม่น้ำคงคาให้ไหลกลับ ให้หลั่งกลับ ให้บ่ากลับ ได้ละหรือ?
ภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า ไม่ได้ พระเจ้าข้า.
พ. ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร.
ภิ. เพราะแม่น้ำคงคาไหลไปสู่ทิศปราจีน หลั่งไปสู่ทิศปราจีน บ่าไปสู่ทิศปราจีน
การที่จะทำการทดแม่น้ำคงคาให้ไหลกลับ ให้หลั่งกลับ ให้บ่ากลับ มิใช่กระทำได้ง่าย แต่เป็น
การแน่นอนว่า หมู่มหาชนพึงเป็นผู้มีส่วนแห่งความลำบากยากแค้น แม้ฉันใด.
พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระราชา มหาอำมาตย์ของพระราชา มิตร สหาย หรือญาติ
สาโลหิต จะพึงเชื้อเชิญภิกษุผู้เจริญอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ ผู้กระทำให้มากซึ่งอริยมรรค
อันประกอบด้วยองค์ ๘ ด้วยโภคะทั้งหลาย เพื่อนำไปตามใจว่า ดูกรบุรุษผู้เจริญ เชิญท่านมาเถิด
ท่านจะนุ่งห่มผ้ากาสายะเหล่านี้ทำไม? ท่านจะเป็นคนโล้นถือกระเบื้องเที่ยวไปทำไม? ท่านจงสึก
มาบริโภคโภคะและกระทำบุญเถิด ภิกษุผู้เจริญอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ ผู้กระทำให้มาก
ซึ่งอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ นั้น จักลาสิกขาสึกออกเป็นคฤหัสถ์ ข้อนี้มิใช่ฐานะที่จะมี
ได้ ข้อนั้นเพราะเหตุไร? เพราะว่าจิตที่น้อมไปในวิเวก โน้มไปในวิเวก โอนไปในวิเวก
ตลอดกาลนานนั้น จักสึกออกมาเป็นคฤหัสถ์ ข้อนี้มิใช่ฐานะที่จะมีได้.
[๒๙๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุย่อมเจริญอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ ย่อม
กระทำให้มากซึ่งอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ อย่างไรเล่า? ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรม
วินัยนี้ ย่อมเจริญสัมมาทิฏฐิ อันอาศัยวิเวก อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธ น้อมไปในการสละ ฯลฯ
ย่อมเจริญสัมมาสมาธิ อันอาศัยวิเวก อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธ น้อมไปในการสละ ดูกรภิกษุ
ทั้งหลาย ภิกษุย่อมเจริญอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ ย่อมกระทำให้มากซึ่งอริยมรรคอัน
ประกอบด้วยองค์ ๘ อย่างนี้แล.
จบ สูตรที่ ๑๕
จบ พลกรณียวรรค
รูปภาพบนไทม์ไลน์
รูปภาพบนไทม์ไลน์
พลังงานทางจิตมนุษย์
จะถูกใช้ทิ้งออกไป ๓ ทาง
๑ เสียพลังงาน ด้วยกายไหว คือทำการขยับ เป็นต้น
๒ เสียพลังงาน ด้วยวาจาใหว คือพูดจา
๓ เสียพลังงาน ด้วยใจ คือ คิดๆนึกๆปรุงๆแต่งๆ

แต่ถ้ากำหนดให้เสียพลังทิ้งโดย เป็นประโยชน์ ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ดี
เช่น ถ้าให้เสียพลังงานออกไปทางกาย โดยการเดินจรงกม (เดินกลับไปกลับมาอย่างสำรวมสบาย)
ก็เป็นประโยชน์ ในทางให้เกิดความสงบ

และถ้าให้เสียพลังงานออกไปทางวาจา
โดยการสวดมนต์ ฯ โดยการบริกรรมซ้ำๆซากๆบ่อยๆว่า นั่งอยู่ๆ
หรือ เดินอยู่ๆ
หรือ ยืนอยู่ๆ
ก็เป็นประโยชน์ในทางให้เกิดความสงบ

และถ้าให้เสียพลังงานออกไปทางใจ
โดยการ คิดลองดูซิว่าจะเป็นอย่างไร คือคิด" ไม่มีอะไรทั้งนั้น ไม่มีคน ไม่มีสัตว์ ไม่มีเรา"
ก็เป็นประโยชน์ในทางให้เกิดความสงบ

นี้คือการปล่อยพลังงานออกไป โดยเกิดความสงบขึ้นมาแทนที่ใหม่เรื่อยๆ
พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้อัพเดตสถานะของเขา
อ่านข้อมูลธรรมะ บนสมาทร์โฟน
อ่านพระไตรปิฏก pdf บนสมาทร์โฟน

การจะยกมือถือโด่ๆขึ้นมาตรงด้านหน้า แล้วอ่านเลย
ย่อมทำให้จิตแผ่ซ่านแตกกระแสออกไปภายนอก ทำให้เหนื่อยรู้สึกไม่มีพลังทางใจ ไม่อึดว่างั้น
แต่ถ้ายกมือถือขึ้นมา แล้วให้ฉากหลังของมือถือ มีส่วนของขาทั้งสองข้างหรือข้างใดข้างหนึ่ง หรือให้ฉากหลังเป็นขาที่ขว้ายคดกันอยู่ยิ่งไม่แตกกระจายออกไป

เพราะว่าถ้ามองดูสิ่งภายนอก จะเหนื่อยเร็ว หมดความอึด
แต่ถ้ามองก้มดูร่างกาย จะรู้สึกว่าไม่เหนื่อย
ทั้งนี้เพราะเป็นการเจริญหมวดกายยานั้นเอง
พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้อัพเดตสถานะของเขา
อยากเป็น พระอนาคามี
1.วาดภาพภาวะว่าเป็นพระอนาคามี"
องค์ธรรมต่อมา "
2.พอใจ
องค์ธรรมต่อมา
3.เกิดความทะเยอทะยานอยาก อยากให้สำเร็จผลดังที่วาดภาพภาวะนั้นเร็วๆสิ ซักซ้า

จึงเป็น ภว ตัณหา

อานิสงค์ของการเป็นพระอนาคามี
1. ศีลในองค์มรรคบริบูรณ์ ฌานสมาธิในองค์มรรคบริบูรณ์ ปัญญาในองค์มรรคก็กำลังหมุนให้บริบูรณ์ตลอดเวลา
2. อภิญญาไม่เสื่อม
3. อยู่สบายเหมือนพรหม พราะไม่มีราคะโทสะมาเผาใจให้ร้อน

แต่พระโสดาบัน พระสกิทาคามี
ยังมีมาเผาบ้างเป็นบางครั้งบางคราว
4. โยมทำบุญด้วยแล้ว เกิดบุญกับเขาเยอะ
5. โอกาสทำให้แจ้งอรหันต์ มีเปอรเซนสูง
เพราะสมาธิพร้อมแล้ว
6. กินอะไรก็ได้ ไม่ต้องกลัวติดรสชาติ
7. แม้จะป่วยอาพาธหนักยามเก่เฒ่าหรือยามตาย สามารถเข้าสมาธิลงสู่ภวังค์จิต(องค์แห่งภพ) ไม่ทราบความเจ็บปวดทางกาย
8. ตายแล้วอุบัติเกิดบนชั้นพรหมสุทธวาส
9. วิจิตกิจฉาไม่มีในการเดินมรรค เทศณ์กี่นาทีหรือกี่ชัวโมงหรือทั้งวันทั้งคืน อุทัจจะความฟุ้งก็ไม่มี เพราะสมาธิเต็มบริบูรณ์แล้ว
...... อันนี้อานิสงค์พอคร่าวๆ
น่าสนใจนะ แหม .....

อานิสงส์ การเป็นพระอเสขะ

1. ศีลในองค์มรรค ฌานสมาธิในองค์มรรค ปัญญาในองค์มรรค เต็มบริบูรณ์
2. อภิญญาไม่เสื่อม
3. มีพระสูตรว่าไว้รับรองไว้ว่า พระอเสขะ สามารถสอนผู้อื่นได้แจ๋วในการให้เข้าถึงอรหัตภูมิ และ พระอนาคา ก็ในทำนองเดียวกัน เพราะวิจิตกิจไม่มีในการเดินมรรค เทศณ์กี่นาทีหรือกี่ชัวโมงหรือทั้งวันทั้งคืน อุทัจจะความฟุ้งก็ไม่มี เพราะสมาธิเต็มบริบูรณ์แล้ว
4. ตายแล้ว ขันธ์๕ ไม่ไม่ปรากฏอีก รูปนามดับไม่มีส่วนเหลือ จริมะจิตดับแล้วหมด ไม่มีเกิดที่ไหนอีก
5. เป็นผู้แจ้มแจ้งในปฏิจจสมุปบาทอันแสนซับซ้อน
คุณสมบัติของพระอรหันต์ ๑๒
๑. เป็นพระอรหันต์ คือผู้ไกลจากกิเลส (อรหันตะ)
๒. เป็นขีณาสพ คือผู้สิ้นกิเลสที่หมักดอง ในสันดาน (ขีณาสาวะ)
๓. เป็นผู้จบพรหมจรรย์แล้ว (วุสิตวันตะ)
๔. เป็นผู้มีกิจที่ควรทำ อันทำเสร็จแล้ว (กตกรณียะ)
๕. เป็นผู้มีภาระอันวางลงแล้ว (โอหิตภาระ)
๖. เป็นผู้มีประโยชน์ตน อันบรรลุโดยลำดับแล้ว (อนุปปัตตสทัตถะ)
๗. เป็นผู้สิ้นเครื่องผูกพัน ให้ติดอยู่ในภพแล้ว (ปริกขีณภวสัญโญชนะ)
๘. เป็นผู้หลุดพ้นแล้ว เพราะรู้โดยถูกต้อง (สัมมทัญญาวิมุตตะ)
๙. เป็นผู้ไม่มีภพใหม่แล้ว
๑๐. เป็นพระอเสขะ
๑๑. เป็นผู้มีอนุปาทิเสสนิพพาน และไม่กลับกำเริบอีก อกุปปา ในเบื้องหน้า
๑๒. เป็นผู้แจ่มแจ้งแล้วในปฏิจสมุปฺบาทด้วยญาณ
๑๓. เป็นผู้สิ้นวานะ(เครื่องผูก)ทั้งปวง
๑๒. เป็นผู้ไม่มีทุกข์
๑๓. เป็นผู้เย็นที่สุด สว่างที่สุด
๑๔. เป็นผู้ที่มีบริบูรณ์ในสามส่วน คือศีล สมาธิ ปัญญา
คร่าวๆประมาณนี้
พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้อัพเดตสถานะของเขา
"หลง ร่างอาหาร" หุ่นยนต์ประกอบด้วย ประดับด้วยเหล็กฉันใด
ร่างกายนี้ ก็ประดับด้วย ส้มตำ ผัดเนื้อหมู ต้มไก่ เมล็ดข้าว ขนม แกง ยำ ฯลฯ
กายนี้มีแต่อาหาร
อาหารแปรสภาพเป็นแขนขา
อาหารแปรสภาพเป็นเส้นผมเส้นขน
อาหารแปรสภาพลูกตา
อาหารแปรสภาพเป็นใบหู
อาหารแปรสภาพเป็นเล็บมือเล็บเท้า
อาหารแปรสภาพเป็นผิวเนื้อผิวหนัง

ร่างกระดูกนี้ ถูกปิดบังไว้ด้วยเนื้อและหนัง จึงทำให้มองไม่เห็นสภาพของกระดูกข้างในของจริง

ตับใต ใส่พุง ปอด ลำไส้ใหญ่ ลำไส้เล็ก น้ำดี ม่าม ถูกปิดไว้ จึงทำให้มองไม่เห็น

หลง ร่างกายนี้ คือหลงธาตุของจักรวาล (รูปปะจักรวาล)
หลง กระแสความรู้สึกต่างๆ คือหลงนามมะจักรวาล
หลง เสียง ต่างๆ คือหลงสัทธะจักรวาล
หลง กลิ่น ต่างๆ คือหลงคัณธะจักรวาล
หลง รส ต่างๆ คือหลงระสะจักรวาล
หลง โผฏฐัพพะ คือหลงโผฏฐัพพะจักรวาล
พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้อัพเดตสถานะของเขา
ญาติและมิตรทั้งหลายย่อมร้องไห้ถึงคนที่ตายแล้ว หรือยังเป็นอยู่แต่หายไป แต่คนใดละกามทั้งหลายได้แล้ว จะกลับมาในกามนี้อีก ญาติและมิตรทั้งหลาย ย่อมร้องไห้ถึงคนนั้น เพราะเขาเป็นอยู่ต่อไปอีกก็เหมือนตายแล้ว เรายกเจ้าขึ้นจากเถ้ารึงที่ยังร้อนระอุแล้ว ท่านอยากจะตกลงไปสู่เถ้ารึงอีกหรือ
พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้อัพเดตสถานะของเขา
คนในโลกนี้
ต้องมีสิ่งที่มี
เพื่ออาศัยสิ่งนั้นเป็นอยู่
ส่วนผู้ปฏิบัติธรรม
ต้องปฏิบัติ จนถึงสิ่งที่ไม่มี
และอยู่กับสิ่งที่ไม่มี
(หลวงปู่ดูลย์ อตุโล)
พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้อัพเดตสถานะของเขา
โทษของการมีใบหน้าสวย หุ่นสวย ผิวสวย
คือ มีความกำหนัดหลงในก้อนกายอันนี้มากกว่าคนที่มีร่างกายไม่สวย ทั้งๆที่ร่างกายอันนี้ล้วนเป็นซ้ากสัตว์ซ้ากวัชพืชที่มาหมักหมมรวมกันตั้งขึ้นมาเป็นกายนี้ และเกิดแต่สัมภาระธาตุแห่งมารดาบิดา

โทษของการมีใบหน้าหล่อ หุ่นดี ผิวสวย
คือ มีความกำหนัดหลงในก้อนกายอันนี้มากกว่าคนที่ไม่หล่อ ทั้งๆที่ร่างกายอันนี้ล้วนเป็นซ้ากสัตว์ซ้ากวัชพืชที่มาหมักหมมรวมกันตั้งขึ้นมาเป็นกายนี้ และเกิดแต่สัมภาระธาตุแห่งมารดาบิดา

คนขี้เหล่ไม่หล่อ คนขี้เหล่ไม่สวย
ถ้าพิจารณาดีๆ บางทีอาจจะได้เปรียบในข้อที่ว่า
มีความหลงมัวเมาต่อร่างกายนี้ น้อยกว่าคนสวยคนหล่อ

นี้คือจำพวกไม่ได้สดับธรรม

ดังนั้นผู้ใด ไม่ยินดีมัวเมากับร่างกายนี้ที่มีความเปลี่ยนแปลงแก่ชราทุกขณะๆ
แล้วถอนความพอใจ กลายเป็นวางเฉยต่อร่างกาย ให้เป็นเพียงสักแต่ว่า มีไว้ระลึกให้เกิดสติสัมประชัญญะ

ผู้นั่นแล มาถูกทางที่จะได้กำไรชีวิต
พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้อัพเดตสถานะของเขา
เป็นหยังคึมักไปยากกับผู้อื่นแท้
เป็นยังคึมักไปยากกับสิ่งภายนอกแท้
.......
เป็นหยังคึมักไปยากกับรูปแถะ
เป็นหยังคึมักไปยากกับเสียงแถะ
เป็นหยังคึมักไปยากกับกลิ่นภายนอกแท้
เป็นหยังคึมักไปยากกับรสภายนอกแท้
เป็นหยังคึมักไปยากกับโผฏฐัพพะแถะ
เป็นหยังคึมักไปยากกับความฮู้สึกแท้
เป็นหยังคึมักไปยากกับสัญญาหมายแถะ
เป็นหยังคึมักไปยากกับเรื่องราวความคิดแถะ
พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้อัพเดตสถานะของเขา
สอนเณร ปริยัติ
เมื่อเราปฏิบัติเราก็จะไม่ถูกใครว่าให้
"ว่า มีแต่ความรู้ในตัวหนังสือ แต่ไม่มีความรู้ในตัวปฏิบัติ "
ประมาณนี้
พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้อัพเดตสถานะของเขา
โยมไม่ซาบซึ่งในทางธรรม
จ้างห้าเขากะบออยากส่งลูก เข้าทางธรรม
เพราะเขาเห็นว่า ทางโลกแซบกว่าดีกว่า
ถ้าเห็นว่าทางธรรมดีกว่าแซบกว่า เขาคงไปทางธรรมและส่งลูกไปทางธรรมแล้ว

ไผ๋ๆกะอยากประสบความเจริญ ไผ๋ๆกะอยากให้ลูกไปทางเจริญ

พระศาสนาสนาสิยืนต่อไปได้ ด้วยเหตุ2ประการ ยกพอคราวๆในเบื้องต้นก่อน
1 พ่อแม่ หนุ่นส่งไปใส่ทางธรรม เปรียบเหมือนพ่อแม่อยากให้ลูกเป็นหมอกะยุลูกตีลูกให้มันเรียนหมอทั้งๆที่มันกะบอมัก
แต่ผลสุดท้ายจิตนั้นเป็นสิ่งที่ฝึกออกแบบนิสัยให้มันใด้ กะเลยต้องสนใจเรียนหมอเพราะถูกชี้จังใด๋มึงกะต้องไปฮัน

2 เขามีความสนใจเอง จิตใจแข็งปานเพชร สามารถทวนกระแสคำสั่งพอแม่ที่อยากให้ลูกออกไปทางโลกได้

และเหตุปัยจัยอื่นๆกะมี
พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้อัพเดตสถานะของเขา
ฆราวาส คือนักสะสม
สมณะ คือนัก สละ
พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้อัพเดตสถานะของเขา
ถ่ายฮูป กะคือถ่ายเนื้อหมู่ เนื้อไก่ ผัก ที่กินเข้าไป
พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้อัพเดตสถานะของเขา
ถ้ารู้ตลอดว่า สิ่งที่เห็น สิ่งที่ได้ยิน กลิ่นที่ได้ทราบ รสน้ำลายจืด สิ่งที่ถูกผิวหนัง นั้นมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
กับทั้งรู้ตลอดว่า ร่างกายนี้ทุกส่วน ก็ล้วนไม่เที่ยง เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
กับทั้งรู้ตลอดว่ากระแสวิญญาณที่ที่รับรู้รับทราบ ที่รู้ทราบรูปธรรมก็ตาม ทราบนามธรรมก็ตาม ก็ล้วนไปเที่ยง
พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้อัพเดตสถานะของเขา
ใช้ชีวิตอยู่ผู้เดียว สบายมีความสุขกว่า
ถ้าการมีชีวิตคู่อยู่ครองเรือน มันเป็นสิ่งที่วิเศษ
ทำไมพระสัมมาสัมพุทธะจึงออกบวช แล้วไม่กลับมาครองเรือนอีกเลย

คนเราจะเสียความสุขความสบายไป ก็ต่อเมื่อ เริ่มทะเยอทะยานมีตัณหากับสิ่งภายนอก
พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้อัพเดตสถานะของเขา
อัตตาภาพร่างกาย โผ่ปรากฏออกมาลักษณะต่างๆนาๆ ก็เนื่องด้วยกระแสสังขาร กระแสสัญญา กระแสความคิด กระแสความรู้สึก เป็นตัวกำหนด
กับทั้งบวกกับวิบากกรรมเก่าด้วย

เปรียบเหมือนทำการคิดๆนึกๆปรุงๆแต่งๆ ผลอันเกิดจากจิตปรุงแต่ง ทำให้มีผลพลอยเกิดตามคือ
อัตตาภาพร่างกาย

แต่ก็ไม่ใช่ว่า ความคิด จะเป็นตัวชนวนทำให้เกิดอัตตาภาพร่างกายขึ้นเสมอไป
ความคิดบางลักษณะทำให้ ไม่มีอัตตาภาพร่างกาย
ดั่งเช่น คิดในลักษณะว่า" ไม่มีอะไร"
ก็จะเข้าถึง อากิณจัญญายตนะภพ เป็นพรหมที่ไม่มีอัตตาภาพร่างกาย

มันลักษณะคล้ายๆว่า สามารถลดหรือเพิ่มจำนวนขันธ์ได้ ด้วยความคิด

เช่นปราถนาลดจำนวนขันธ์ลง สัก หนึ่งขันธ์ คือรูปขันธ์ ก็เพียงแค่คิดไปในลักษณะ อากาศไม่มีที่สิ้นสุด วิณญาณไม่มีที่สิ้นสุด ไม่มีอะไร เป็นต้น
วิบากของการคิดเช่นนี้ ทำให้หลังตาย รูปขันธ์หายไป

ที่นี้ถ้าปราถนาลดจำนวนขันธ์ลงอีก คือเวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ ก็เพียงแค่คิดไปในลักษณะ สัญญาเวทยิตนิโรธร

แล้วถ้าพิจารณาลงให้ลึกสุดๆ คือ นิพพาน หรือ อรหันต์ เป็นเพียงแค่การลด จำนวนขันธ์ลงให้หมด
คือลดรูปขันธ์ลง ให้ไม่มี
ลดเวทนาขันธ์ลง ให้ไม่มี
ลดสัญญาขันธ์ลง ให้ไม่มี
ลดสังขารขันธ์ลง ให้ไม่มี
ลดวิญญาณขันธ์ลง ให้ไม่มี

แล้วก็กลายเป็น สภาพ อสังขตะ
ตรงข้ามกับ สภาพ สังขตะ คือขันธ์ทั้งห้า
พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้อัพเดตสถานะของเขา
๑. จะผู้หญิงหรือผู้ชายก็ตาม จะหมดสวยหมดหล่อ เมื่อถูกถลกผมออกจนเหลือแต่หัวโล้นๆ
และเป็นเหตุให้คลายความหลงคลายความติดใจ ต่อหญิงชายคนนั้นได้ เมื่อมีปัญญาเป็นเหตุ

๒. จะผู้หญิงหรือผู้ชายก็ตาม
จะหมดสวยหมดหล่อ เมื่อถูกถลกหนังออกจนเหลือแต่เนื้อแดงๆสดๆดิบๆ
และเป็นเหตุให้คลายความหลงคลายความติดใจ ต่อหญิงชายร่างเนื้อแดงๆสดๆดิบๆคนนั้นได้ เมื่อมีปัญญาเป็นเหตุ

๓. จะผู้หญิงหรือผู้ชายก็ตาม จะหมดสวยหมดหล่อ เมื่อถูกถลกเนื้อออกจนเหลือแต่โครงร่างกระดูก หัวกระโหลกขาวๆแบบว่ามองดูกระดูกซี่โครงด้านหน้า ก็เห็นทะลุถึงกระดูกซี่โครงด้านหลัง และทะลุไปเห็นต้นไม้ที่อยู่บริเวรข้างหลังอีกด้วย
และเป็นเหตุให้คลายความหลงคลายความติดใจ ต่อร่างโครงกระดูกหญิง ต่อร่างโครงกระดูกชายคนนั้นได้ เมื่อมีปัญญาเป็นเหตุ

๔. จะผู้หญิงหรือผู้ชายก็ตาม จะหมดสวยหมดหล่อ เมื่อถูกถลกกระดูกออกจนหมดจนเหลือแต่ลูกกะตาที่ติดอยู่กับสมอง
และอวัยวะภายใน คือ หลอดอาหาร ปอด กระเพาะ หัวใจ ม้าม ตับ ลำไส้ใหญ่ลำไส้เล็ก ถุงปัสสาวะ ถุงน้ำดี ฯลฯ ที่โยงกันอยู่ คล้ายๆเหมือนกระสือชายกระสือหญิง ที่โชว์อวัยวะภายในห้อยโต่งเต่งๆลอยไปมาตามอากาศ ตามยอดไม้
และเป็นเหตุให้คลายความหลงคลายความติดใจ ต่อร่างอวัยวะที่คล้ายกระสือชายคล้ายกระสือหญิงคนนั้นได้ เมื่อมีปัญญาเป็นเหตุ

๕. จะผู้หญิงหรือผู้ชายก็ตาม เมื่อถูกถลกอวัยวะภายในออก พวกสมอง
พวกหลอดอาหาร ปอด กระเพาะ หัวใจ ม้าม ตับ ลำไส้ใหญ่ลำไส้เล็ก ถุงปัสสาวะ ถุงน้ำดี ฯลฯ ออกมาวางกระจายข้างนอกให้เป็นแถวตอนเรียงหนึ่ง เรียงสอง เรียงสาม ฯลฯ เหมือนเด็กเข้าแถวหน้าเสาธง แล้วไปทิ้งเรี่ยร่ายกระจายตามพื้นดิน แล้วสลายหายไปกับพื้นดิน สลายหายไปกับสายลม สลายหายไปกับสายน้ำ สลายหายไปเพราะไฟไหม้

๖. ก็จะเป็นเหตุให้คลายความหลงคลายความติดใจ ต่ออวัยวะที่กระจัดกระจาย เป็นแถวตอนเรียงหนึ่ง เรียงสอง เรียงสาม ฯลฯ เหมือนเด็กเข้าแถวหน้าเสาธงนั้นได้ ถ้าเมื่อมีปัญญาเป็นเหตุ

๗. ก็จะเป็นเหตุให้ คลายความหลง คลายความติดใจ ต่อร่างอาหารนี้อันเป็นสัมภาระธาตุทั้งสี่ ที่เป็นของมารดาบิดา เกิดแต่มารดาบิดาร่วมรักใคร่กัน และมีจิตมาปฏิสนธิ
ยั่งลงสู่อสุจิและไข่ หรือสิงอสุจิและไข่ จะว่าไซโกสหรือกลละ ก็ได้ แล้วเจริญเติบโต ขยายออกมาเรื่อยๆ จนกลายเป็นปัญจสาขา หัวหนึ่ง แขนสอง ขาสอง และเจริญเติบโตขยายใหญ่ขึ้นมาเรื่อยๆด้วยอาหารที่มารดารับประทานเข้าไปแปะไว้เรื่อยๆ ส่วนหนึ่งก็ออกเป็นขี้ เป็นเหยี่ยว จนถึงลำดับการคลอดออกมา แล้วรับธาตุทั้งสี่เข้าไปเปอะเข้าไปเพิ่มอีกเรื่อยๆ อันเป็นชาวโลกเรียกว่าอาหาร แต่ความจริลมันซ้ากผักซ้ากเนื้อสุก ฯลฯ ต่างๆ หรือเอาจริงๆก็คือ กินดินกินน้ำแปรรูปโดยธรรมชาติเขาแปรสภาพให้ และดำเนินการเจริญเสื่อมจนถึงกับแก่ชรา และทำกาละมรณะตายลงไป
* ทางรูปธรรมสิ่งทั้งหลายที่เป็นเหตุให้เกิดการยั่งลงปฏิสนธิหรือสิงอสุจิและไข่ได้ ก็สลายคืนสู่ดิน สู่น้ำ ฯลฯ คืนธรรมชาติคืนผิวโลกเขาไปตามเดินนั่นแหละ
พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้อัพเดตสถานะของเขา
๑. จะผู้หญิงหรือผู้ชายก็ตาม จะหมดสวยหมดหล่อ เมื่อถูกถลกผมออกจนเหลือแต่หัวโล้นๆ
และเป็นเหตุให้คลายความหลงคลายความติดใจ ต่อหญิงชายคนนั้นได้ เมื่อมีปัญญาเป็นเหตุ

๒. จะผู้หญิงหรือผู้ชายก็ตาม
จะหมดสวยหมดหล่อ เมื่อถูกถลกหนังออกจนเหลือแต่เนื้อแดงๆสดๆดิบๆ
และเป็นเหตุให้คลายความหลงคลายความติดใจ ต่อหญิงชายร่างเนื้อแดงๆสดๆดิบๆคนนั้นได้ เมื่อมีปัญญาเป็นเหตุ

๓. จะผู้หญิงหรือผู้ชายก็ตาม จะหมดสวยหมดหล่อ เมื่อถูกถลกเนื้อออกจนเหลือแต่โครงร่างกระดูก หัวกระโหลกขาวๆแบบว่ามองดูกระดูกซี่โครงด้านหน้า ก็เห็นทะลุถึงกระดูกซี่โครงด้านหลัง และทะลุไปเห็นต้นไม้ที่อยู่บริเวรข้างหลังอีกด้วย
และเป็นเหตุให้คลายความหลงคลายความติดใจ ต่อร่างโครงกระดูกหญิง ต่อร่างโครงกระดูกชายคนนั้นได้ เมื่อมีปัญญาเป็นเหตุ

๔. จะผู้หญิงหรือผู้ชายก็ตาม จะหมดสวยหมดหล่อ เมื่อถูกถลกกระดูกออกจนหมดจนเหลือแต่ลูกกะตาที่ติดอยู่กับสมอง
และอวัยวะภายใน คือ หลอดอาหาร ปอด กระเพาะ หัวใจ ม้าม ตับ ลำไส้ใหญ่ลำไส้เล็ก ถุงปัสสาวะ ถุงน้ำดี ฯลฯ ที่โยงกันอยู่ คล้ายๆเหมือนกระสือชายกระสือหญิง ที่โชว์อวัยวะภายในห้อยโต่งเต่งๆลอยไปมาตามอากาศ ตามยอดไม้
และเป็นเหตุให้คลายความหลงคลายความติดใจ ต่อร่างอวัยวะที่คล้ายกระสือชายคล้ายกระสือหญิงคนนั้นได้ เมื่อมีปัญญาเป็นเหตุ

๕. จะผู้หญิงหรือผู้ชายก็ตาม เมื่อถูกถลกอวัยวะภายในออก พวกสมอง
พวกหลอดอาหาร ปอด กระเพาะ หัวใจ ม้าม ตับ ลำไส้ใหญ่ลำไส้เล็ก ถุงปัสสาวะ ถุงน้ำดี ฯลฯ ออกมาวางกระจายข้างนอกให้เป็นแถวตอนเรียงหนึ่ง เรียงสอง เรียงสาม ฯลฯ เหมือนเด็กเข้าแถวหน้าเสาธง แล้วไปทิ้งเรี่ยร่ายกระจายตามพื้นดิน แล้วสลายหายไปกับพื้นดิน สลายหายไปกับสายลม สลายหายไปกับสายน้ำ สลายหายไปเพราะไฟไหม้

๖. ก็จะเป็นเหตุให้คลายความหลงคลายความติดใจ ต่ออวัยวะที่กระจัดกระจาย เป็นแถวตอนเรียงหนึ่ง เรียงสอง เรียงสาม ฯลฯ เหมือนเด็กเข้าแถวหน้าเสาธงนั้นได้ ถ้าเมื่อมีปัญญาเป็นเหตุ

๗. ก็จะเป็นเหตุให้ คลายความหลง คลายความติดใจ ต่อร่างอาหารนี้อันเป็นสัมภาระธาตุทั้งสี่ ที่เป็นของมารดาบิดา เกิดแต่มารดาบิดาร่วมรักใคร่กัน และมีจิตมาปฏิสนธิ
ยั่งลงสู่อสุจิและไข่ หรือสิงอสุจิและไข่ จะว่าไซโกสหรือกลละ ก็ได้ แล้วเจริญเติบโต ขยายออกมาเรื่อยๆ จนกลายเป็นปัญจสาขา หัวหนึ่ง แขนสอง ขาสอง และเจริญเติบโตขยายใหญ่ขึ้นมาเรื่อยๆด้วยอาหารที่มารดารับประทานเข้าไปแปะไว้
พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้อัพเดตสถานะของเขา
พ่อค้าหัวดีคึหยังนิ ส่วนอาตมาเกรดพอออกจาก ม.6 ได้ พ่อใหญ่บ้านกะบอได้โง่ ไผ๋ละสิกล้าไปตั๋ว พ่อค้ากะหัวดี พ่อใหญ่บ้านกะหัวดี เว้าให้ฟังแล้ว กะถือว่าสิ้นสุดหน้าที่ของเฮาแล้ว
เหลือนั่นแล้วแต่เขาสิตัดสินใจเอง
แม่ใหญ่หนูต้องการให้เฮ็ดหลายกว่านี้อีก แต่ฮันเว้าบ่อได้ กะเลยเอาเฉพาะข้อที่จำเป็นๆ
๑ กระดูกอย่าเอาเข้าธาตุเมิ๊ด ให้ลูกแต่ละคนแบ่งกันเอาไว้
เอาไว้เถิ่งเฮียน และเอาไว้บ้านพักนำ และเอาไว้หน้ารถใหญ่นำ รถขายของ รถสี่ล้อ
๒ งานทำบุญร้อยวัน อย่าเอาหมูมาฆ่า แต่ให้ซื้อเอาอันที่เขาฆ่าแล้ว

#แม่ใหญ่หนูยุชั้นดาวดึงส์ สวรรค์ชั้นที่๒
(สวรรค์มี๖ชั้น)
1 จาตุมหาราชิกา
2 ดาวดึงส์
3 ยามา
4 ดุสิต
5 นิมมานรดี
6 ปรนิมมิตะวสวัตดี

ถ้าบ่เห็น.แล้วสิให้เชื่อเลยมันยากสำหรับคนหัวดีคนปัญญาหลาย เฮากะทำตามความสามารถไปแล้ว ขึ้นอยู่ที่เขาสิเฮ็ดตามบอ
การอัพโหลดผ่านมือถือ
กว่าจะรู้สิ่งทั้งปวง ใช้เวลาตั้ง 4 อสงไข กำไรอีกแสนกัป + บำเพ็ญทุกขกิริยาตั้ง 6 ปี
ที่ต้องบำเพ็ญทุกขกิริยา6ปี
เพราะกรรมที่ไปพูดว่าให้พระกัสสปะสัมมานัมพุทธะเจ้า (พระพุทธเจ้าองค์ที่แล้ว)
ว่า"สัพพัญญูตะญาณจะมีแต่ที่ไหน ท่านได้โดยยากยิ่ง"

เพราะวจีกรรมอันนี้นี่เอง ทำให้เจ้าชายสิทธัดถะ
ต้อง บำเพ็ญทุกขกิริยาตั้ง6ปี

แล้วจึงตรัสรู้ และประกาศเรื่องราวความจริงที่พระองค์ทราบ เอาเฉพาะเรื่องที่เป็นประโยชน์จริง เป็นแก่นสารจริง เป็นสิ่งที่มนุษย์ควรทราบที่สุด คือเรื่องการดับทุกข์ทางใจอย่างถาวร ไม่ให้มีเหลือเชื้อเกิดขึ้นได้
อัพเดตเมื่อ พ.ย. 22, 2017 4:15:16am
คุณได้แท็ก Jindarut Siriwal, Bowling Sunisa Kengnok, Pat Thiranan, Jirapan Wongklang, Aphichat Norkaew, Chonlachai Duangkaeo, Chamaiporn Ponhan, Judy Jirapron, Browviwe Lovesick, Beer-malee BP, Dowpaky Dao, Benchakai Daungkaew, Chanyaphon Saisaman, Naree Maneenat, Benjamat Kruekongmat, Chainarong Inkhaow PB, Wichitchai Piankla, Bank Grittapas, Danusorn Pok Seesod, CK Kitkat, Love Ja Supannika, Fang Kittipong, Bat Bat Wisetkaew, Chinnakon Hnokaew, Orpeeya Pakprom, Chainimit Rakuaong, Chutamas Daungkaew, BeeBee Nichapat, BaiFern Lyy, Hong Far Natthaya, Auwa Sekhunthod, Sittinun Rakwong, Pui Chutima, มะนาว โฮ, Jakkapan Duangkaew, สมัย เกษมสัตย์ และ Krupui Darinee
การอัพโหลดผ่านมือถือ
การอัพโหลดผ่านมือถือ
การอัพโหลดผ่านมือถือ
การอัพโหลดผ่านมือถือ
การอัพโหลดผ่านมือถือ
การอัพโหลดผ่านมือถือ
พระบรมสารีริกธาตุ พระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้า
"(กระดูกพระพุทธเจ้า)" นั่นเอง

#การอันตรธานของพุทธศาสนา
ได้ยินว่า ในเวลาที่ศาสนาทรุดลง พระธาตุทั้งหลายก็จักไปรวมกันอยู่ในมหาเจดีย์ในเกาะตามพปัณณีทวีปนี้ ต่อจากมหาเจดีย์ก็จักไปรวมกันอยู่ที่ราชายตนเจดีย์ในนาคทวีปต่อแต่นั้น ก็จักไปสู่มหาโพธิบัลลังก์. พระธาตุทั้งหลายจากภพแห่งนาคก็ดี จากพรหมโลกก็ดี จักไปสู่มหาโพธิบัลลังก์ทีเดียว. พระธาตุแม้มีประมาณเท่าเมล็ดพันธุ์ ผักกาด ก็จักไม่อันตรธานไปเลย. พระธาตุทั้งหมดก็จะรวมกันเป็นกองอยู่ในมหาโพธิบัลลังก์ รวมกันอยู่แน่นเหมือนกองทองคำฉะนั้น เปล่งฉัพพัณณรังสีออกมา. พระธาตุเหล่านั้นจักแผ่ไปตลอดหมื่นโลกธาตุ. ต่อแต่นั้น เทวดาในหมื่นจักรวาลก็ประชุมพร้อมกันแล้ว กล่าวกันว่าพระศาสดาย่อมปรินิพพานไปในวันนี้ ศาสนาก็ย่อมทรุดโทรมไปในวันนี้ นี้เป็นการได้เห็นครั้งสุดท้ายของเราทั้งหลายในบัดนี้ ดังนี้แล้ว จักพากันกระทำความกรุณาอันยิ่งใหญ่ กว่าวันที่พระทศพลปรินิพพาน. เว้นพระอนาคามีและพระขีณาสพเสีย ภิกษุที่เหลือก็จักไม่สามารถดำรงอยู่ได้โดยภาวะของตน. เตโชธาตุในบรรดาธาตุทั้งหลาย ก็จักลุกพุ่งขึ้นไปจนถึงพรหมโลก เมื่อมีพระธาตุแม้เท่าเมล็ดพันธุ์ ผักกาดอยู่ ก็จักลุกเป็นเปลวเดียวกัน เมื่อธาตุทั้งหลายถึงความหมดแล้ว เตโชธาตุก็จักดับหายไป. เมื่อพระธาตุทั้งหลายได้แสดงอานุภาพอันใหญ่หลวงอย่างนี้แล้วหายไป ศาสนาก็เป็นอันชื่อว่าอันตรธานไป
จากพระไตรปิฎก มหามกุฏราชวิทยาลัยเล่ม 15 หน้า 251
พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้อัพเดตสถานะของเขา
ผู้ใดใช้พรหมวิหาร๔เป็น ใช้ถูกกาละ
ผู้นั้นย่อมไม่ทุกข์ใจ...
บางโอกาสควรใช้พรหมวิหารข้ออุเบกขาอย่างเดียว
บางโอกาสควรใช้พรหมวิหารข้อเมตตากรุณาควบกันไป
บางโอกาสควรใช้พรหมวิหารข้อมุทิตาเพียงอย่างเดียว

พรหมวิหาร๔คือกรอบของนักปฏิบัติภาวนา
เพราะว่าจะอยู่เฉพาะเมตตา จะไปไม่ถึงอุเบกขาสัมโพชฌงค์
เพราะว่าการอยู่เฉพาะพรหมวิหาร๓ข้อต้น จะไปไม่ถึงนิพพาน เพราะข้องอยู่ในภพของพรหมชั้นล่าง ภพของพรหมชั้นบนคืออุเบกขาแล้วเบื่อหน่ายต่อภพอุเบกขา อันเป็นเวทนาที่อวิชชานุสัยซ่อนอยู่
พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้อัพเดตสถานะของเขา
ถ้ามีอารมณ์อันเดียวคือธาตุลมหายใจ
.มันคือหนทางแห่งฌาน...
พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้อัพเดตสถานะของเขา
คนขุมื้อหนิมันทุกข์ย้อนคิดกำหนดหมายไปเอง มันกะเลยทุกข์
พระอรหันต์เพิลบ่ถือมันกำหนดหมายใดๆเลย
และคนขุมื้อหนิทุกข์เพราะปรุงแต่งอารมณ์ความสุขใส่ใจบ่เป็น
ส่วนหลายมีแต่ปรุงแต่งอารมณ์ความทุกข์ใส่ใจเจ้าของ

เบิ่งเฮาแน ทั้งเรื่องราวครอบครัว
ทั้งเรื่องราวภายในผ้าเหลือง
เฮากะเคยงึดเจ้าของยุ...

เฮาถึงกับต้องเตือนพวกญาติเลยว่า เว้านำเฮาดีๆเด้อ
เดี๋ยวนี้ครูบาอาจารย์ที่เฮาเคารพฝากตัวแล้วคือพระอาจารย์ อนันต์ อกิณจโณ ยังบ่เคยเห็นเพิลตัวจริง
แต่ฮู้ตำแหน่งเพิลยุ แต่ฮั่นจักสิแมนรึบ่แมนกะบอซีเลือดปานใด๋ มันมีวิธีติดต่อกับเพิลยุ

ส่วนองค์อื่นๆ มันบ่ยอมลง หลวงปู่
พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้อัพเดตสถานะของเขา
คนขุมื้อหนิมันทุกข์ย้อนคิดกำหนดหมายไปเอง...
มันกะเลยทุกข์
........
พระอรหันต์เพิลบ่ถือมันเลยอาการกำหนดหมายจั่งใด๋กะเด้ย ภูมิธรรมเพิลกะเลยสามารถสิสอนคนอื่นว่า "สัพเพ ธัมมา นาลัง อภินิเวสายะ" แปลว่า ธรรมทั้งปวงอันบุคคลไม่ควรถือมั่น
........
และคนขุมื้อหนิทุกข์เพราะปรุงแต่งอารมณ์ความสุขใส่ใจบ่เป็น (อารมณ์ความสุขกะคือสติปัฏฐาน๔)

แต่ปรุงแต่งอารมณ์ความทุกข์ใส่ใจ (อารมณ์ความทุกข์กะคือนิวรณ์๕)

พระสัมมาสัมพุทธะ เพิลสอนให้ละอกุศล
คือให้ละโดยการรู้ก่อนว่ามันคืออะไร เรียกว่าญาตปริญญา

เมื่อรอบรู้ในทุกข์แล้ว
ก็ให้รอบรู้ลึกลงไปอีก ว่ามีเหตุมาจากผัสสะตัวไหน
จากการเห็นแล้วต่อจากนั้นก็มีโมหะความหลง คือหลงปรุงแต่งทุกข์เผาใจนี้หรอ

หรือ
จากการได้ยินเสียงแล้วต่อจากนั้นก็มีโมหะความหลง คือหลงปรุงแต่งทุกข์เผาใจนี้หรอ

หรือจากการได้กลิ่นแล้วต่อจากนั้นก็มีโมหะความหลง คือหลงปรุงแต่งทุกข์เผาใจนี้หรอ

หรือจากการได้รู้รสชาติแล้วต่อจากนั้นก็มีโมหะความหลง คือหลงปรุงแต่งทุกข์เผาใจนี้หรอ

หรือจากการได้รู้โผฏฐัพพะ(อะไรมาถูกกายนิดๆหน่อยหรือแรงๆ)แล้วต่อจากนั้นก็มีโมหะความหลง คือหลงปรุงแต่งทุกข์เผาใจนี้หรอ

หรือจากการได้รู้ธัมมารมณ์ (เรื่องราวเหตุการในอดีต มันปุ๊บขึ้นมาทางใจ แล้วต่อจากนั้นก็มีโมหะความหลง คือหลงปรุงแต่งทุกข์เผาใจนี้หรอ

เมื่อรู้ว่า มันทุกข์เพราะมีเหตุมาจากผัสสะข้อไหน
ก็เรียกว่าเสร็จกิจในข้อ #ตรีรณะปริญญา

ต่อไปเป็นปหานะปริญญา
คือเมื่อรู้แล้วว่าทุกข์มันเกิดจากอวิชชาสัมผัสข้อไหน
ข้อเห็นรูป หรือข้อได้ยินเสียง หรือข้อได้กลิ่น หรือข้อได้รู้รสชาติ หรือข้อรู้โผฏฐัพพะ หรือข้อรู้ธัมมารมณ์ ก็ทำการละทุกข์ทิ้งเสียด้วยอริยะมรรคมีองค์แปด เช่น เดินจงกลม ,ทำสมาธิ , ก็คือทำกรรมฐานข้อไหนก็ได้ตามที่ถูกจริต มีให้เลือกตั้ง ๔๐ ข้อ บางท่านว่ากรรมฐานมีมากกว่าสี่สิบ
ทั้งนี้เพราะเขาอาจทำวิธีที่ไม่ใช่ในข้อกรรมฐานสี่สิบ จึงกล้าพูดว่ามีมากกว่าสี่สิบ

โดยร่วมแล้วก็คือ เพื่อให้เซาหลงปรุงแต่งกระแสนิวรณ์๕ เพราะกระแสนิวรณ์๕พระพุทธเจ้าตรัสว่ามันคืออกุศลที่แท้จริง โลภโกธหลง ราคะโทสะ ก็รวมอยู่ในนั้น

แล้วให้ปรุงแต่งกระแสที่เป็นศีลสมาธิปัญญา
เบื้องต้นคือกระแสหยุดกายทุจริจ วจีทุจริต
แล้วต่อจากนั้นก็ขึ้นมาที่ปรุงกระแสมโนสุจริตแทนมโนทุจริต อันได้แก่อุปจาระสมาธิ อัปนาสมาธิ และขึ้นมาที่ กระแสคล้อยตามเห็นตามว่ามันไม่เที่ยง มันทนอยู่ในสภาวะเดิมไม่ได้ มันบังคับบัญชาไม่ได้

ธรรมะของพระพุทธเจ้า ไม่อาจลงไปมีอำนาจในขันธะสันดานของคนที่ไม่มีสัมมาศรัทธา ไม่มีสัมมาวิริยะ ไม่มีสัมมาสติ ไม่มีสัมมาสมาธิ ไม่มีสัมมาปัญญา
เหมือนคำหลวงปู่มั่นว่า
"แม้จะป้อนให้ก็เหมือนสาดน้ำใส่หลังหมา หมามันย่อมสบัดน้ำนั่นทิ้ง"
การอัพโหลดผ่านมือถือ
##ทุกอย่าง...ถ้าไม่ลงมือทำมีแต่คิดมีแต่พูด ก็ไม่สำเร็จถ้าไม่ลงมือกระทำ ##นักภาวนามัวแต่ไปสอนคนอื่น...ไม่สอนใจตน ไม่พูดกับตน ไม่ลงมือทำด้วยตน ไม่มีทางพบแสงสว่างแห่งธรรม ##เมื่อลงมือกระทำ...ให้เป็นธรรมด้วยตน ตนนั่นแลจะเป็นผู้ชำนาญ ผู้ช่ำชองถึงจะยุติธรรม ##ความยุติ...เกิดขึ้นอยู่ที่ใด ความเป็นธรรมก็เกิดขึ้นที่นั่น ##ความเป็นธรรมเกิดขึ้นอยู่ที่ใด...ความยุติก็เกิดขึ้นขึ้นที่นั่น จึงได้ชื่อว่า "ยุติธรรม" ^^ธรรมโอวาท หลวงพ่อพระอาจารย์หมี ฐานกโร^^ ณ วัดป่าอ้อมแก้วอรัญญาวาส ต.น้ำจั่น อ.เซกา จ.บึงกาฬ ให้ไว้เมื่อ ๖ ม.ค. ๒๕๖๐ คณะญาติโยมจาก จ.ยโสธร มากราบนมัสการ
##ทุกอย่าง...ถ้าไม่ลงมือทำมีแต่คิดมีแต่พูด ก็ไม่สำเร็จถ้าไม่ลงมือกระทำ
##นักภาวนามัวแต่ไปสอนคนอื่น...ไม่สอนใจตน ไม่พูดกับตน ไม่ลงมือทำด้วยตน ไม่มีทางพบแสงสว่างแห่งธรรม
##เมื่อลงมือกระทำ...ให้เป็นธรรมด้วยตน ตนนั่นแลจะเป็นผู้ชำนาญ ผู้ช่ำชองถึงจะยุติธรรม
##ความยุติ...เกิดขึ้นอยู่ที่ใด ความเป็นธรรมก็เกิดขึ้นที่นั่น
##ความเป็นธรรมเกิดขึ้นอยู่ที่ใด...ความยุติก็เกิดขึ้นขึ้นที่นั่น จึงได้ชื่อว่า "ยุติธรรม"

^^ธรรมโอวาท หลวงพ่อพระอาจารย์หมี ฐานกโร^^
ณ วัดป่าอ้อมแก้วอรัญญาวาส ต.น้ำจั่น อ.เซกา จ.บึงกาฬ
ให้ไว้เมื่อ ๖ ม.ค. ๒๕๖๐
คณะญาติโยมจาก จ.ยโสธร มากราบนมัสการ
พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้อัพเดตสถานะของเขา
พรุ่งนี้ต้องไปลงทะเบียนที่หนองป่าพง....
สิ่งที่พิเศษช่วงที่อยู่หนองป่าพง ใครไม่เจอไม่รู้หรอก ก็คือเวลาฟังเทศณ์ของหลวงพ่อเลี่ยม เราเข้าใจว่า
ท่านมีญาณหยั่งรู้จิตใจทั้งอดีตและปัจจุบันของพระทุกองค์ที่อยู่ในนั้นที่ฟังเทศณ์อยู่ในศาลาหรือหอฉัน

เช่นถ้าวันนี้เราคิดอะไรไว้
แล้วพรุ่งนี้ไปหาท่าน ก็ทราบความคิดที่เราคิดในเมื่อวาน

และนอกนั้นก็คือ ที่เราคิดว่าท่านมี
คือ ทิพย์จักษุ หรือภาษาชาวบ้านก็คือมีตาทิพย์ มองเห็นทะลุปุโปร่ง แม้อยู่ในที่ลับ
และ ทิพย์โสตะ ก็คือ หูทิพย์สามารถได้ยินเสียงมนุษย์และเสียงเทวดา
และ ปากทิพย์

........................

และช่วงที่ไปอุปฐากท่านเราเคยถามธรรมะว่า
"หลวงพ่อครับ ถ้าสมมุติว่าเราเดินบิณฑบาตร โยมเขาก็ใส่บาตรให้ แล้วในขณะที่โยมเขาใส่บาตรตามันก็มองใบหน้าคนที่ใส่ .......
แล้วจากนั้นโยมเขาก็ใส่เสร็จ
แล้วเราก็เดินจากโยมไปข้างหน้า
แล้วไอ้ภาพใบหน้าโยมมันปรากฏทางมโนทวาร
แล้วเราต้องทำยังไงครับ

หลวงพ่อ : เห็นแล้วเป็นจั่งใด๋ (เดี่ยวนี่เฮาเข้าใจความหมายที่หลวงพ่อว่า เห็นแล้วเป็นจั่งใด กะคือเห็นแล้วราคะเกิดเบาะ หรือเห็นแล้วเฉยๆ)

เรา : เห็นแล้วมันเป็นภาพทางมโนทวารครับ

#ขอข้ามเพราะจำไม่ค่อยได้#

จากนั้นหลวงพ่อก็เอาหนังสือให้ 1 เล่ม
แล้วบอกว่า "เอาไปเปิดเบิ่ง"

แล้วเราก็เอามาเปิดดู ก็เป็นภาพหัวกระโหลกคนและท่านก็พูดว่า "เบิ่งแล้วให้พิจารณาให้เกิดความเบื่อหน่ายคลายความกำหนัด"
เราก็ดูและพิจารณา แต่ไม่คลายความกำหนัดเลย..!

#สรุปว่า เราไปอาศัยที่หนองป่าพง มีแต่ได้กับได้
1ได้ฟังธรรมะในระดับไม่ธรรมดา
2ได้ทำทานกับคณะสงฆ์ซึ่งมีหลวงพ่อเป็นประทาน
3ได้พวกบริขาร บาตรบ่ม ผ้าอังสะ ผ้าสบง ย่าม ผ้าอาบน้ำ และอื่นๆอีก
แท้ที่จริงแล้ว เราไปอยู่ที่นั่นก็ไม่ใช่ว่าจะมีความภาวะเหมือนอยู่วัดบ้านคืออิสระในความเคยชินเหมือนอยู่ที่วัดบ้าน เพราะที่หนองป่าพงมีข้อวัตรที่ขัดเกลากิเลสมาก เช่นตื่นตีสามทำวัตรเช้า และฉันเสร็จเดินเพ่นพานไม่ได้เลย และส่งเสียงดังไม่ได้เลยแม้ในกลางวัน ไม่ต้องกล่าวถึงกลางคืน ช่วงเข้าพรรษา มีข้อวัตรให้คือ ทำสมาธิ 3 เวลา
1 ตอนหลังทำวัตรเช้าและสาธยายพระสูตรและแผ่เมตตาอุทิศบุญ เป็นเวลาให้นั่งทำสมาธิ
2 ตอนบ่ายหนึ่งไปถึงบ่ายสอง ก็เป็นเวลาให้นั่งทำสมาธิ
3 ตอนเย็นหลังทำวัตรสาธยายพระสูตรและแผ่เมตตาอุทิศบุญ ก็เป็นเวลาให้นั่งทำสมาธิ แต่บางองค์ก็ไปเดินจงกลม

.... คงยาวถ้าจะพิมพ์ให้จบ พอแค่นี้ก่อนเด้อ แจ้งนี่สิฉันจั่งหั่นเช้าในวัดแล้วจากนั้นกะสิกราบลาเพิลและ.. เว้าเรื่องการจำพรรษา๕ เพราะว่าตอนนี้ยังไม่ปักลงว่าจะเข้าที่วัดไหน แต่เล็งๆไว้ว่า อุดร เป็นวัดสายหลวงตาพระมหาบัว ซึ่งเราเห็นว่า เราชอบแบบข้อวัตรไม่เยอะ งานไม่เยอะ จากที่เคยพบข้อมูล วัดป่าบ้านตาดมีกิจน้อยเน้นให้ภาวนาทำความเพียร
การอัพโหลดผ่านมือถือ
อสุภะกรรมฐาน อันบุคคลใดเจริญแล้วใจเกิดความสงบ พึงเจริญเถิด เมื่อเจริญแล้วใจสงบแล้ว ก็ใช้ใจที่สงบนั้นนั่นแหละพิจารณา ว่าการยกการสร้างนิมิตอสุภะขึ้น เป็นการทำงานเป็นสสังขาร ควรวางลงบ้าง หยุดทำการสร้างอสุภะนิมิตบ้าง คือการพักการวาดภาพขึ้น ..... แล้วพึงอย่าพึ่งทิ้งการสร้างการวาดภาพอสุภะนิมิตนั้นที่เคยทำ ควรทำการสร้างบ้าง ควรหยุดการสร้างบ้าง เพื่อจะเห็นอาการทะเยอทะยานปรุงสร้างภาพ และเห็นอาการหยุดปรุงการสร้างภาพ ก็จะเห็นว่าทั้งสองอาการไม่เที่ยง ไม่น่ายินดีเลยการปรุงแต่ง
อสุภะกรรมฐาน อันบุคคลใดเจริญแล้วใจเกิดความสงบ พึงเจริญเถิด เมื่อเจริญแล้วใจสงบแล้ว ก็ใช้ใจที่สงบนั้นนั่นแหละพิจารณา ว่าการยกการสร้างนิมิตอสุภะขึ้น เป็นการทำงานเป็นสสังขาร ควรวางลงบ้าง หยุดทำการสร้างอสุภะนิมิตบ้าง คือการพักการวาดภาพขึ้น ..... แล้วพึงอย่าพึ่งทิ้งการสร้างการวาดภาพอสุภะนิมิตนั้นที่เคยทำ ควรทำการสร้างบ้าง ควรหยุดการสร้างบ้าง เพื่อจะเห็นอาการทะเยอทะยานปรุงสร้างภาพ และเห็นอาการหยุดปรุงการสร้างภาพ ก็จะเห็นว่าทั้งสองอาการไม่เที่ยง ไม่น่ายินดีเลยการปรุงแต่ง
พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้อัพเดตสถานะของเขา
เราเองที่ไปให้ค่าเขาเอง หมายมั่น มั่นหมายเขา ว่าเป็นต่างๆนาๆ แล้วก็หลงหมายจนเป็นโทษคือเกิดทุกข์ขึ้นมาเผาใจ ไปสำคัญมั่นหมาย รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ / จนเกิดเป็นทุกขะธัมมารมณ์(ธัมมารมณ์ที่เป็นทุกข์) และมโนวิญญาณที่สัมประยุติกับธัมมารมณ์อันเป็นความทุกข์ใจ
การอัพโหลดผ่านมือถือ
ใจแบบพระ คือใจที่ มีสติสัมประชัญญะมีความรู้ตัวทั่วพร้อมไม่หลงไม่ลืม ระลึกถึงกิจที่เคยทำวาจาที่เคยพูดแล้วแม้นานได้ เป็นต้น เจริญพร/////
ใจแบบพระ
คือใจที่ มีสติสัมประชัญญะมีความรู้ตัวทั่วพร้อมไม่หลงไม่ลืม ระลึกถึงกิจที่เคยทำวาจาที่เคยพูดแล้วแม้นานได้ เป็นต้น เจริญพร/////
คุณได้แท็ก หนูสิน สมหมั่น
การอัพโหลดผ่านมือถือ
ความสุขใจนั้นมันคือกระแสที่จิตปรุงแต่งออกมา หาใช่รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะไม่ที่เป็นความสุข รูปเขาหากเป็นอยู่อย่างนั้น อนิจจังอยู่เช่นนั้น เสียงเขาหากเป็นอยู่อย่างนั้น อนิจจังอยู่เช่นนั้น กลิ่นเขาหากเป็นอยู่อย่างนั้น อนิจจังอยู่เช่นนั้น รสเขาหากเป็นอยู่อย่างนั้น อนิจจังอยู่เช่นนั้น โผฏฐัพพะเขาหากเป็นอยู่อย่างนั้น อนิจจังอยู่เช่นนั้น ไม่ปรากฏว่าเขาบอกว่าเขาสุขเขาทุกข์ เขาเป็นเพียงแต่อาการ แต่จิตใจที่ยังมีอวิชชาโมหะความหลงที่ ไม่รู้ตามความเป็นจริง จึงโง่หลงปรุงแต่งทุกข์เผารนให้เร่าร้อนจิตใจ แทนที่จะฉลาดปรุงแต่งความสุข ความเย็น ขึ้นมาให้จิตใจนี่เย็น แต่สุขที่อาศัยรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะนั่นก็เป็นความสุขอีกชนิดหนึ่งเรียกว่า สุขที่อิ่งอาศัยอามิส ต้องคอยประคับประครองให้มีมาให้อายตนะภายใน ประสบ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ผู้ใดอยากพบความเย็นใจ พึงน้อมนำพระธรรม มาปฏิบัติที่จิตใจตน เรียกว่าละอกุศลธรรมนั่นเองคือการปฏิบัติธรรม ราคะละได้ด้วยอสุภะ โทสะละได้ด้วยเมตตา โมหะละได้ด้วยโยนิโสมนสิการ คิดแล้วเป็นทุกข์ พึงละได้ด้วยคิดถึงบุญกุศลความดีที่ตนเคยทำไว้ในกาลก่อน คิดบ่อยๆ เมื่อคิดบ่อยๆนั่นแหละคือการพยามใส่เหตุหรือสร้างเหตุให้จิตปรุงแต่งภาวะที่เป็นกุศล ผลคือความสุขเย็นใจ ถ้าคิดถึงบาปมันทุกข์ ก็คิดถึงการกระทำที่ตนเคยทำบุญกุศลในคราวก่อนกาลก่อนบ่อยๆ นั้นนั่นแลคือการสร้างเหตุให้จิตปรุงแต่งให้เป็นความสุขเย็นใจ เจริญพร////
ความสุขใจนั้นมันคือกระแสที่จิตปรุงแต่งออกมา หาใช่รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะไม่ที่เป็นความสุข
รูปเขาหากเป็นอยู่อย่างนั้น อนิจจังอยู่เช่นนั้น
เสียงเขาหากเป็นอยู่อย่างนั้น อนิจจังอยู่เช่นนั้น
กลิ่นเขาหากเป็นอยู่อย่างนั้น อนิจจังอยู่เช่นนั้น
รสเขาหากเป็นอยู่อย่างนั้น อนิจจังอยู่เช่นนั้น
โผฏฐัพพะเขาหากเป็นอยู่อย่างนั้น อนิจจังอยู่เช่นนั้น
ไม่ปรากฏว่าเขาบอกว่าเขาสุขเขาทุกข์
เขาเป็นเพียงแต่อาการ แต่จิตใจที่ยังมีอวิชชาโมหะความหลงที่ ไม่รู้ตามความเป็นจริง
จึงโง่หลงปรุงแต่งทุกข์เผารนให้เร่าร้อนจิตใจ
แทนที่จะฉลาดปรุงแต่งความสุข ความเย็น ขึ้นมาให้จิตใจนี่เย็น

แต่สุขที่อาศัยรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะนั่นก็เป็นความสุขอีกชนิดหนึ่งเรียกว่า สุขที่อิ่งอาศัยอามิส ต้องคอยประคับประครองให้มีมาให้อายตนะภายใน ประสบ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ

ผู้ใดอยากพบความเย็นใจ พึงน้อมนำพระธรรม มาปฏิบัติที่จิตใจตน เรียกว่าละอกุศลธรรมนั่นเองคือการปฏิบัติธรรม

ราคะละได้ด้วยอสุภะ
โทสะละได้ด้วยเมตตา
โมหะละได้ด้วยโยนิโสมนสิการ

คิดแล้วเป็นทุกข์ พึงละได้ด้วยคิดถึงบุญกุศลความดีที่ตนเคยทำไว้ในกาลก่อน คิดบ่อยๆ เมื่อคิดบ่อยๆนั่นแหละคือการพยามใส่เหตุหรือสร้างเหตุให้จิตปรุงแต่งภาวะที่เป็นกุศล ผลคือความสุขเย็นใจ

ถ้าคิดถึงบาปมันทุกข์ ก็คิดถึงการกระทำที่ตนเคยทำบุญกุศลในคราวก่อนกาลก่อนบ่อยๆ นั้นนั่นแลคือการสร้างเหตุให้จิตปรุงแต่งให้เป็นความสุขเย็นใจ

เจริญพร////
การอัพโหลดผ่านมือถือ
ปฏิจสมุปบาท คือ อาการของจิตที่เปลี่ยนแปลง คำศัพท์บัญญัติ ในพระสูตรปฏิจสมุปบาท เช่น สังขาร วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปทาน ก็คือคือ อาการของจิต แม้ในหมวดธรรมในด้านปัญจขันธ์ ที่เป็นเป็นส่วนนามธรรม คือ เวทนา สัญญา เจตนา สังขาร วิญญาณ ก็คืออาการของจิต ฉะนั้น ผู้ศึกษาอาการของจิตจนแจ้มแจ้ง ก็เรียกว่า ผู้แจ้มแจ้งแล้วในปฏิจสมุบาท แม้ไม่รู้จักชื่อสมมุติบัญญัติหมาย ว่า อาการนี้ให้คำสมมุติบัญญัติว่าเวทนา อาการนี้ให้คำสมมุติบัญญัติว่าสัญญา อาการนี้ให้คำสมมุติบัญญัติว่าสังขาร อาการนี้ให้คำสมมุติบัญญัติว่าวิญญาณ ดังนั้นผู้ศึกษาอาการของจิต ก็คือผู้ศึกษาปฏิจสมุบาทของจริง #มีแต่พระอรหันต์ที่แจ่มแจ้งแล้วในปฏิจสมุปบาทในระดับมรรคคา / เจริญพร / ท่านผู้ใฝ่ในธรรม
ปฏิจสมุปบาท คือ อาการของจิตที่เปลี่ยนแปลง
คำศัพท์บัญญัติ ในพระสูตรปฏิจสมุปบาท เช่น สังขาร วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปทาน ก็คือคือ อาการของจิต
แม้ในหมวดธรรมในด้านปัญจขันธ์ ที่เป็นเป็นส่วนนามธรรม คือ เวทนา สัญญา เจตนา สังขาร วิญญาณ ก็คืออาการของจิต

ฉะนั้น ผู้ศึกษาอาการของจิตจนแจ้มแจ้ง ก็เรียกว่า ผู้แจ้มแจ้งแล้วในปฏิจสมุบาท แม้ไม่รู้จักชื่อสมมุติบัญญัติหมาย ว่า อาการนี้ให้คำสมมุติบัญญัติว่าเวทนา อาการนี้ให้คำสมมุติบัญญัติว่าสัญญา อาการนี้ให้คำสมมุติบัญญัติว่าสังขาร อาการนี้ให้คำสมมุติบัญญัติว่าวิญญาณ ดังนั้นผู้ศึกษาอาการของจิต ก็คือผู้ศึกษาปฏิจสมุบาทของจริง #มีแต่พระอรหันต์ที่แจ่มแจ้งแล้วในปฏิจสมุปบาทในระดับมรรคคา
/ เจริญพร / ท่านผู้ใฝ่ในธรรม
พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แพร่ภาพสด
กายคตาสติสูตร ถ้าทำถูกต้องสำเร็จบรรลุผล จิตใจ เจตสิก หรือ นามธรรม จะเป็นจิตที่เบามีความสว่าง ไม่ว่าจะปฏิบัติสัญญาที่เป็น รูปสัญญา หรือ นามสัญญา รูปสัญญา คือ การกำหนดไปที่กาย มีหมวดสัมประชัญญะบรรพะ อิริยาบรรพะ อานาปานบรรพะ นามสัญญา คือ การกำหนดไปที่นาม มีหมวด อัฏฐิกะสัญญา ปุฬุวกะสัญญา ไปจนถึง กระดูกแปรสภาพเป็นธุลี ถ้าเดินจรงกลมจนนิวรณ์ ๕ หายดับหมด เหลือแต่สภาวะใจที่ไม่สุขไม่ทุกข์ นั่งแสดงว่าจิตรวมลงเป็นอุปจาระสมาธิแล้ว และถ้าสวดมนต์จนเกิดอาการเหมือนกับว่า เป็นผู้รู้ การปรุงแต่งสวดมนต์ สวดมนต์ก็เป็นอาการอยู่ต่างหากจาก เหมือนดูเห็นอยู่เฉยๆเหมือนไม่ได้เป็นคนสวด นั่นแสดงว่ามีสติทันการปรุงแต่งของจิต ที่ปรุงบทสวดขึ้นมา บทสวดก็มาจากจิตนั่นแหละปรุงขึ้นมา
สถานที่: ระยอง (12.6742, 101.279)
ที่อยู่: เทศบาลนครระยอง
กายคตาสติสูตร ถ้าทำถูกต้องสำเร็จบรรลุผล จิตใจ เจตสิก หรือ นามธรรม จะเป็นจิตที่เบามีความสว่าง

ไม่ว่าจะปฏิบัติสัญญาที่เป็น รูปสัญญา หรือ นามสัญญา

รูปสัญญา คือ การกำหนดไปที่กาย มีหมวดสัมประชัญญะบรรพะ อิริยาบรรพะ อานาปานบรรพะ

นามสัญญา คือ การกำหนดไปที่นาม มีหมวด อัฏฐิกะสัญญา ปุฬุวกะสัญญา ไปจนถึง กระดูกแปรสภาพเป็นธุลี

ถ้าเดินจรงกลมจนนิวรณ์ ๕ หายดับหมด
เหลือแต่สภาวะใจที่ไม่สุขไม่ทุกข์
นั่งแสดงว่าจิตรวมลงเป็นอุปจาระสมาธิแล้ว

และถ้าสวดมนต์จนเกิดอาการเหมือนกับว่า เป็นผู้รู้ การปรุงแต่งสวดมนต์ สวดมนต์ก็เป็นอาการอยู่ต่างหากจาก เหมือนดูเห็นอยู่เฉยๆเหมือนไม่ได้เป็นคนสวด
นั่นแสดงว่ามีสติทันการปรุงแต่งของจิต ที่ปรุงบทสวดขึ้นมา บทสวดก็มาจากจิตนั่นแหละปรุงขึ้นมา
การอัพโหลดผ่านมือถือ
###[ พิจารณาดีๆจะเห็นว่ามันคล้ายๆปัจจยาการธรรมที่เกิดจากธรรมหนึ่งๆ แล้วเป็นเหตุให้เกิดขันธ์ทีละขันธ์ขึ้นมา อันเรียกว่าปฏิจสมุปบาท ]### 1รูป~1วิญญาณ~1สัญญาหมายหมายว่าจุดๆ) แปรสภาพเป็นอายตนะที่หก } 1สัญญาหมายว่าจุดๆ ~ 1วิญญาณ ~ 1สัญญาหมายขึ้นมาใหม่ ~ 1วิญญาณ ฯลฯ และ 1รูปานามมารมณ์~1สัญญาหมาย ฯลฯ #และให้แตกออกคือพิจารณาอายตะอันอื่นต่อในทำนองเดียวกัน #หมายเหตุ ในที่นี้คือไม่ได้เอาเวทนามาใส่ ถ้าว่าตามปัจยาการจริงๆ ต้องเริ่มด้วย 1รูป 1วิญญาณ 1เวทนา 1สัญญา 1สังขาร ___________________________________ รูป ~ ธรรมชาติที่เห็นรูป ~ เวทนาความรู้สึก~ธรรมชาติที่เห็นเวทนา ~ สัญญาหมาย ~ ธรรมาชาติที่เห็นสัญญาหมาย ~ สังขารความคิดเป็นเรื่องเป็นราว:แล้วก็เกิดธรรมชาติที่เห็นสังขารความคิดเป็นเรื่องเป็นราว และก็เกิดธรรมชาติที่เห็นใหม่ขึ้นมาเพราะเหตุคือเกิดผัสสะ(ตา รูป จักขุวิญญา / หู เสียง โสตะวิญญาณ / จมูก กลิ่น ฆานะวิญญาณ / ชิวหา รส ชิวหาวิญญาณ / กาย โผฏฐัพพะ กายวิญญาณ / หรือยังเกิดวิญญาณที่เป็นภายในคือมโนวิญญาต่อไปอีก ผัสสะ รูปานามมารมณ์ วิญญาณที่เนื่องด้วยรูปานามมารมณ์ -> เจตนาที่เกิดต่อจากการที่วิญญาณประสบกับรูปปานามมารมณ์ (#ข้าพระเจ้าคิดว่า ตัวเจตนาตรงนี้นี่เองคือ ความอยาก แล้วไปตรงกับ สมุทัยสัจ) ผัสสะ สัทธานามมารมณ์ วิญญาณที่เนื่องด้วยสัทธานามมารมณ์ -> เจตนาที่เกิดต่อจากการที่วิญญาณประสบกับสัทธานามมารมณ์ (#ข้าพระเจ้าคิดว่า ตัวเจตนาตรงนี้นี่เองคือ ความอยาก แล้วไปตรงกับ สมุทัยสัจ) ผัสสะ คัณธานามมารมณ์ วิญญาณที่เนื่องด้วยคัณธานามมารมณ์ -> เจตนาที่เกิดต่อจากการที่วิญญาณประสบกับคัณธานามมารมณ์ (#ข้าพระเจ้าคิดว่า ตัวเจตนาตรงนี้นี่เองคือ ความอยาก แล้วไปตรงกับ สมุทัยสัจ) ผัสสะ ระสานามมารมณ์ วิญญาณที่เนื่องด้วยระสานามมารมณ์ -> เจตนาที่เกิดต่อจากการที่วิญญาณประสบกับระสานามมารมณ์ (#ข้าพระเจ้าคิดว่า ตัวเจตนาตรงนี้นี่เองคือ ความอยาก แล้วไปตรงกับ สมุทัยสัจ) ผัสสะ โผฏฐัพพานามมารมณ์ วิญญาณที่เนื่องด้วยโผฏฐัพพานามมารมณ์ -> เจตนาที่เกิดต่อจากการที่วิญญาณประสบกับโผฏฐัพพานามมารมณ์ (#ข้าพระเจ้าคิดว่า ตัวเจตนาตรงนี้นี่เองคือ ความอยาก แล้วไปตรงกับ สมุทัยสัจ) ผัสสะ ธรรมสัญญา(กำหนดความประสงค์ต่างๆขึ้นมา) #ตรงกำหนดความประสงค์ต่างๆขึ้นมานี้ตรงกันเด๊ะกับ "เจตนา" เลย และก็ "เจตนา" ก็ไปตรงกับสภาวะ "กามมะตัณหา" "ภวตัณหา" "วิภวะตัณหา" และถ้ากำหนดความประสงค์ขึ้นมาแล้วแล้วอยากมากๆที่จะให้สำเร็จตามความประสงค์ จะเกิดทุกข์ และถ้ากำหนดความประสงค์ขึ้นมาแล้วแล้วอยากไม่มากคือมีความอยากแบบอ่อน เช่น ก้าวเท้าเดินจรงกลมไปมา แล้วมันรวมลงเป็นอุปจาระสมาธิ ก่อนหน้านั้นคือมีความอยากแบบอ่อนๆไม่มาก ถ้าไม่มีความอยากเลยก็ไม่ได้ทำการเดินจรงกรม #และมีแต่พระอรหันต์แจ่มแล้วในปฏิจจสมุปบาทสายไม่ให้มีทุกข์ถอนตัณหาได้หมดสิ้น ส่วนพระเสขะยังไม่แจ่มแจ้งในปฏิจจสมุปบาทสายถอนโมหะเต็มบริบูรณ์
###[ พิจารณาดีๆจะเห็นว่ามันคล้ายๆปัจจยาการธรรมที่เกิดจากธรรมหนึ่งๆ แล้วเป็นเหตุให้เกิดขันธ์ทีละขันธ์ขึ้นมา อันเรียกว่าปฏิจสมุปบาท ]###

1รูป~1วิญญาณ~1สัญญาหมายหมายว่าจุดๆ)
แปรสภาพเป็นอายตนะที่หก
} 1สัญญาหมายว่าจุดๆ ~ 1วิญญาณ ~ 1สัญญาหมายขึ้นมาใหม่ ~ 1วิญญาณ ฯลฯ

และ
1รูปานามมารมณ์~1สัญญาหมาย ฯลฯ

#และให้แตกออกคือพิจารณาอายตะอันอื่นต่อในทำนองเดียวกัน

#หมายเหตุ ในที่นี้คือไม่ได้เอาเวทนามาใส่
ถ้าว่าตามปัจยาการจริงๆ ต้องเริ่มด้วย 1รูป 1วิญญาณ 1เวทนา 1สัญญา 1สังขาร

___________________________________
รูป ~ ธรรมชาติที่เห็นรูป ~ เวทนาความรู้สึก~ธรรมชาติที่เห็นเวทนา ~ สัญญาหมาย ~ ธรรมาชาติที่เห็นสัญญาหมาย ~ สังขารความคิดเป็นเรื่องเป็นราว:แล้วก็เกิดธรรมชาติที่เห็นสังขารความคิดเป็นเรื่องเป็นราว และก็เกิดธรรมชาติที่เห็นใหม่ขึ้นมาเพราะเหตุคือเกิดผัสสะ(ตา รูป จักขุวิญญา / หู เสียง โสตะวิญญาณ / จมูก กลิ่น ฆานะวิญญาณ / ชิวหา รส ชิวหาวิญญาณ / กาย โผฏฐัพพะ กายวิญญาณ /

หรือยังเกิดวิญญาณที่เป็นภายในคือมโนวิญญาต่อไปอีก ผัสสะ รูปานามมารมณ์ วิญญาณที่เนื่องด้วยรูปานามมารมณ์ -> เจตนาที่เกิดต่อจากการที่วิญญาณประสบกับรูปปานามมารมณ์ (#ข้าพระเจ้าคิดว่า ตัวเจตนาตรงนี้นี่เองคือ ความอยาก แล้วไปตรงกับ สมุทัยสัจ)

ผัสสะ สัทธานามมารมณ์ วิญญาณที่เนื่องด้วยสัทธานามมารมณ์ -> เจตนาที่เกิดต่อจากการที่วิญญาณประสบกับสัทธานามมารมณ์ (#ข้าพระเจ้าคิดว่า ตัวเจตนาตรงนี้นี่เองคือ ความอยาก แล้วไปตรงกับ สมุทัยสัจ)

ผัสสะ คัณธานามมารมณ์ วิญญาณที่เนื่องด้วยคัณธานามมารมณ์ -> เจตนาที่เกิดต่อจากการที่วิญญาณประสบกับคัณธานามมารมณ์ (#ข้าพระเจ้าคิดว่า ตัวเจตนาตรงนี้นี่เองคือ ความอยาก แล้วไปตรงกับ สมุทัยสัจ)
ผัสสะ ระสานามมารมณ์ วิญญาณที่เนื่องด้วยระสานามมารมณ์ -> เจตนาที่เกิดต่อจากการที่วิญญาณประสบกับระสานามมารมณ์ (#ข้าพระเจ้าคิดว่า ตัวเจตนาตรงนี้นี่เองคือ ความอยาก แล้วไปตรงกับ สมุทัยสัจ)
ผัสสะ โผฏฐัพพานามมารมณ์ วิญญาณที่เนื่องด้วยโผฏฐัพพานามมารมณ์ -> เจตนาที่เกิดต่อจากการที่วิญญาณประสบกับโผฏฐัพพานามมารมณ์ (#ข้าพระเจ้าคิดว่า ตัวเจตนาตรงนี้นี่เองคือ ความอยาก แล้วไปตรงกับ สมุทัยสัจ)

ผัสสะ ธรรมสัญญา(กำหนดความประสงค์ต่างๆขึ้นมา)
#ตรงกำหนดความประสงค์ต่างๆขึ้นมานี้ตรงกันเด๊ะกับ "เจตนา" เลย และก็ "เจตนา" ก็ไปตรงกับสภาวะ "กามมะตัณหา" "ภวตัณหา" "วิภวะตัณหา"

และถ้ากำหนดความประสงค์ขึ้นมาแล้วแล้วอยากมากๆที่จะให้สำเร็จตามความประสงค์ จะเกิดทุกข์

และถ้ากำหนดความประสงค์ขึ้นมาแล้วแล้วอยากไม่มากคือมีความอยากแบบอ่อน เช่น ก้าวเท้าเดินจรงกลมไปมา แล้วมันรวมลงเป็นอุปจาระสมาธิ ก่อนหน้านั้นคือมีความอยากแบบอ่อนๆไม่มาก ถ้าไม่มีความอยากเลยก็ไม่ได้ทำการเดินจรงกรม

#และมีแต่พระอรหันต์แจ่มแล้วในปฏิจจสมุปบาทสายไม่ให้มีทุกข์ถอนตัณหาได้หมดสิ้น ส่วนพระเสขะยังไม่แจ่มแจ้งในปฏิจจสมุปบาทสายถอนโมหะเต็มบริบูรณ์